🔻1.เอ๊ะ
-แนวคิดแรกที่ทีมงานชัชชาติทุกคนมี นั่นคือการ “เอ๊ะ” หรือการฉุกคิด ตั้งคำถามถึงสิ่งต่างๆ ที่กำลังทำอยู่ว่าจะนำไปสู่อะไร และทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิมได้หรือไม่
– ทุกคนน่าจะได้รับแนวคิดนี้มาจากการทำงานร่วมกับชัชชาติ เพราะเขามักจะ “เอ๊ะ” ซึ่งชวนให้ทีมงาน Rethink หรือคิดต่อไปด้วยกันเสมอ จนหล่อหลอมทักษะนี้เข้าไปในตัวทีมงานทุกคนก็ว่าได้
-ยกตัวอย่างคือเรื่องนโยบาย 9 ดี 9 ด้าน ที่ทำออกมาเป็นการ์ตูนและได้รับกระแสดีมากจากคนรุ่นใหม่
ทีมชัชชาติบอกว่าในตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ซะทีเดียว แต่เกิดจากการคิดว่าจะถ่ายทอดนโยบาย 200 กว่าข้อออกมายังไง
ที่สุดก็ออกมาเป็น 9 ดี 9 ด้าน แต่ก็เกิดการ “เอ๊ะ” ว่าแล้วจะสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ยังไง ท้ายที่สุดก็เลยทำออกมาเป็นการ์ตูน
🔻2.ฟัง
เมื่อเกิดการ “เอ๊ะ” ขึ้นมา แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือการระดมสมอง ถกเถียงมากมายเพื่อหาข้อสรุปว่าจะทำ-ไม่ทำ ถ้าทำ จะทำแบบไหน
แต่ในระหว่างการถกเถียง บรรยากาศของทีมชัชชาติ คือบรรยากาศของ ‘การรับฟัง’ ด้วย
จุดเริ่มต้นของบรรยากาศนี้ส่วนหนึ่งก็มาจาก ‘ชัชชาติ’ เองที่เป็นคนเปิดกว้างและเปิดใจรับฟัง แม้หลายครั้งผลของข้อสรุปจะไม่ตรงใจเขา แต่ถ้าผ่านการถกเถียงมาแล้ว ชัชชาติก็ยอมรับ
ในทีมเองเวลาถกเถียงกัน แสดงความเห็น ทุกคนก็รับฟังคนอื่นแบบที่ไม่มีการโกรธหรือดราม่าตามหลัง เพราะทุกคนรู้ดีว่านี่เป็นเรื่องงาน และทุกความเห็นจากทุกคนก็ออกมาจากความตั้งใจทั้งนั้น
น่าสนใจอย่างหนึ่งคือทีมชัชชาติต่างก็เป็นคนที่ไม่มีอีโก้ ทุกคนไม่มีใครมา ‘ขิง’ หรือเบ่งใส่กันว่าฉันเก่งเรื่องนี้ รู้เรื่องนี้ พวกเขาพร้อมรับฟังผู้อื่น ด้วยพื้นฐานมายด์เซ็ตที่ว่ามาทำเพื่อกรุงเทพฯ
🔻3.จุดประสงค์-ผลลัพธ์
อีกแนวคิดที่ทำให้แคมเปญหลายอย่างสำเร็จ ไปจนถึงชัยชนะของชัชชาติ เป็นเพราะทีมงานมีจุดประสงค์และวางเป้าหมายผลลัพธ์ไว้อย่างชัดเจน
ทีมชัชชาติเข้ามาทำงานด้วยจุดประสงค์และเป้าหมายเดียวกันที่ว่า “ต้องการจะพัฒนากรุงเทพฯ ให้ได้” “อยากเห็นกรุงเทพฯ เปลี่ยนแปลง” และชัชชาติก็เป็นความหวังของพวกเขาที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายนั้น
การกำหนดจุดประสงค์และผลลัพธ์ ยังเป็นแนวคิดที่ถูกนำมาใช้ในหลายๆ สิ่งที่ทีมชัชชาติทำ
คือเวลาจะทำแคมเปญอะไรสักอย่าง พวกเขาจะคิดก่อนว่าอยากเห็นผลลัพธ์ออกมาเป็นยังไง หรือจะทำสิ่งนี้เพื่ออะไร จากนั้นถึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการหาวิธีทำเพื่อให้เกิดผลลัพธ์นั้นขึ้น
🔻4.Trust
แนวคิดอีกข้อที่เราเห็นจากทีมชัชชาติ ก็คือ Trust หรือการเชื่อมั่นในตัวกันและกัน
สิ่งนี้เริ่มตั้งแต่ชัชชาติเอง ตั้งแต่การรับคนเข้าทีม ชัชชาติเลือกคนกลุ่มแรกเข้าทีมจากการเชื่อมั่น เชื่อใจ ว่านี่คือคนที่จะร่วมทางไปกับเขา
ทีมชัชชาติกลุ่มแรกๆ 4-5 คน ก็เติมคนอื่นๆ เข้าทีมโดยเลือกจากคนที่ตัวเองรู้จักและเห็นแล้วว่านอกจากจะมีความสามารถ ก็ยังเชื่อว่ามีเคมีการทำงานที่เข้ากันได้
คนรุ่นใหม่ที่เข้ามาทำงานในทีมชัชชาติเอง ก็เชื่อในตัวชัชชาติ ซึ่งพวกเขาบอกว่าสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ แต่เกิดจากการเห็นในสิ่งที่ชัชชาติทำในทุกๆ วัน เช่น เรื่องวิ่ง
พวกเขาบอกว่า การวิ่งของชัชชาติ เขาไม่ได้คิดแค่ว่าวิ่งเพื่อให้ตัวเองแข็งแรง สุขภาพดี แล้วจบ แต่ชัชชาติวิ่งบนหลักคิดที่ว่าจะได้สุขภาพแข็งแรงเพื่อให้ดูแลลูกได้ ดูแลเมืองได้ นั่นทำให้พวกเขาเชื่อในตัวชัชชาติ
และชัชชาติเองก็เชื่อในตัวทีมงานเช่นกัน แม้ทีมงานแต่ละคนจะไม่เคยทำงานการเมืองกันมาก่อน แต่เขาก็ปล่อยให้คิดอย่างอิสระ ไม่ตีกรอบ แต่ก็จะมีการถามว่าเป็นยังไง ทำแล้วดีมั้ย ถ้าทำแล้วดี ทำแล้วไป เขาก็จะปล่อยให้ทำชนิดที่เชื่อแล้วเชื่อเลย
🔻5.ไฮบริด
ข้อสุดท้ายของการทำงานแบบทีมชัชชาติก็คือ ‘ไฮบริด’
ด้วยความที่คนน้อย ทำให้ทีมชัชชาติอาศัยการเทิร์นคนให้ไปทำงานอื่นๆ เจอหน้างานใหม่ๆ ที่ต่างไปจากเดิม และนั่นทำให้คนในทีมชัชชาติแต่ละคน ‘ไม่มีชื่อตำแหน่ง’
อย่างพัฒน์ที่หลักๆ ดูเรื่องนโยบาย งานแรกของเขาคือการติดโปสเตอร์ที่กระจก
เอื้อย เข้ามาในตำแหน่งแอดมินดูแลกลุ่มไลน์อาสาเพื่อนชัชชาติ ต่อมามีหน้าที่ดูแลโซเชียลมีเดีย และแปลงข้อความนโยบายเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย
แหวนที่ตอนแรกเข้ามาทำงานโปรดักชั่น แต่ด้วยความที่เคยอยู่วงการสื่อ ทำให้ได้มาดูแลสื่อ เขียนข่าวประชาสัมพันธ์ ไปจนถึงจับงานอีเวนต์
แน่นอนว่าการทำงานแบบนี้ทำให้พวกเขาเหนื่อย เพราะทำงานกัน 7 วัน และบางครั้งไม่มั่นใจในหน้าที่ใหม่ๆ ที่ได้รับ
แต่เพราะแพสชั่นที่อยากจะพัฒนากรุงเทพฯ ความเชื่อในตัวผู้นำ และมายด์เซ็ตของการพร้อมรับฟัง ไม่ถือว่าตัวเองเก่ง ทำให้ไม่ว่าจะไฮบริดไปทำหน้าที่อะไร พวกเขาก็ตั้งใจทำมันออกมาให้ดีที่สุด
คะแนนที่ได้
สรุปผลเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.-ส.ก. หลังนับคะแนนครบ100% ‘ชัชชาติ’ คะแนนสูงสุด 1,386,215 คะแนน
🔻วันที่ 23 พ.ค. 2565 กกต.กรุงเทพฯ สรุปผลเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. และ ส.ก. อย่างไม่เป็นทางการ หลังนับคะแนนจาก 50 สำนักงานเขต รวม 6,817 หน่วยเลือกตั้งครบ 100% ในเวลา 00.45 น. ผู้ชนะการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. คือ หมายเลข 8 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครอิสระ ได้คะแนนเลือกตั้งสูงสุด 1,386,215 คะแนน สรุปรายละเอียดได้ดังนี้
🔻อันดับ 1 เบอร์ 8 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ สมัครในนามอิสระ 1,386,769 คะแนน คิดเป็น 51.8%
🔻อันดับ 2 เบอร์ 4 นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ พรรคประชาธิปัตย์ 254,723 คะแนน คิดเป็น 9.5%
🔻อันดับ 3 เบอร์ 1 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร พรรคก้าวไกล 253,938 คะแนน คิดเป็น 9.5%
🔻อันดับ 4 เบอร์ 3 นายสกลธี ภัททิยกุล สมัครในนามอิสระ 230,534 คะแนน คิดเป็น 8.6%
🔻อันดับ 5 เบอร์ 6 พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง สมัครในนามอิสระ 214,805 คะแนน คิดเป็น 8.0%
🔻อันดับ 6 เบอร์ 7 นางสาวรสนา โตสิตระกูล สมัครในนามอิสระ 79,009 คะแนน คิดเป็น 2.9%
🔻อันดับ 7 เบอร์ 11 น.ต.ศิธา ทิวารี พรรคไทยสร้างไทย 73,926 คะแนน คิดเป็น 2.7%
นโยบาย
🔻นายชัชชาติ กล่าวว่า นโยบายที่ตนออกมานั้นสามารถทำได้จริง ซึ่งกลั่นกรองมาจากปัญหาชาวบ้าน ไม่ใช่เพ้อฝัน ซึ่งทำน้อยแต่ได้เยอะ ยกตัวอย่างเช่นการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้มากขึ้น อาทิ แก้ปัญหาความโปร่งใส ส่วย ซึ่งสามารถทำได้ทันที รวมถึงนำมาประเมินการทำงาน ผอ.เขต หรือ ผู้ว่าฯ เกี่ยวกับการทำงาน ซึ่งสามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้อแก้กฎหมาย
🔻เมื่อถามว่าทำไมเปิดตัวนโยบายก่อนไทม์ไลน์เลือกตั้งออก นายชัชชาติ มองว่า ไม่มีเวลาไหนเหมาะสมกว่าตอนนี้ ซึ่งตนคิดว่าการเลือกตั้งน่าจะเป็น 22 ก็ 29 พ.ค.นี้ ซึ่งต้องรอดู ครม.ในวันที่ 8 มี.ค.นี้ 🔻สำหรับการเปิดตัวนโยบายของ นายชัชชาติ วันนี้เป็นการรวบรวมและวิเคราะห์มาจากกระบวนการมีส่วนร่วมกับเครือข่ายหน่วยงานรัฐ ผู้เชี่ยวชาญ ชุมชนและภาคประชาสังคม ภายใต้ชื่อทีม “เพื่อนชัชชาติ” โดยเปิดตัวนโยบายในชื่อแคมเปญ “กรุงเทพฯ เมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน” จนนำมาสู่เกือบ 200 นโยบายที่สรุปเรียกสั้นๆ ว่า “กรุงเทพฯ 9 ดี” ดังนี้
กรุงเทพ9ดี 🔻1.ปลอดภัยดี-สร้างแผนที่จุดเสี่ยงด้านอาชญากรรม จราจร และสาธารณภัย รู้ก่อน ป้องกันได้ ไหวตัวทัน -จัดตั้งศูนย์สั่งการ เพื่อความชัดเจน คล่องตัว ในการรับมือกับสาธารณภัย-พนักงาน กทม. เป็นหูเป็นตา ช่วยแจ้งถนนพัง ไฟดับ ทางเท้าทรุด ฯลฯ -ทุกโครงสร้างพื้นฐานในกทม. พร้อมใช้ มีเจ้าหน้าที่ประจำดูแล -พัฒนาที่พักชั่วคราว ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ที่คนไร้บ้านเข้าถึงได้ 🔻2.เดินทางดี -ใช้ระบบจัดการจราจรอัจฉริยะ (ITMS) บริหารจราจรทั้งโครงข่ายเพื่อบรรเทาปัญหาจราจร-พัฒนารถสาธารณะทั้งระบบ เพื่อรถสายหลักและรอง (trunk and feeder) ราคาถูกและราคาเดียว -หารือเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียวกับ รฟม. เพื่อลดค่าแรกเข้า ลดรายจ่ายประชาชน-พัฒนาจุดจอดจักรยานที่ปลอดภัยและมีคุณภาพในจุดเชื่อมต่อการเดินทาง-กรุงเทพฯ เดินได้ พัฒนาเดินเท้าคุณภาพ 1,000 กทม. 🔻3.สุขภาพดี -เชื่อมโยงประวัติคนไข้ภายในสถานพยาบาลในกรุงเทพฯ เพื่อส่งต่อและดูแลรักษาได้ทั่วกรุงเทพฯ-เพิ่มการรักษา เพิ่มเวลา เพิ่มทรัพยากรในศูนย์บริการสาธารณสุข (ศบส.)-หมอถึงบ้านผ่าน Telemedicine-ขยายโครงการโรงพยาบาล 10,000 เตียง สู่ชุมชนชนทั่วกรุงเทพฯ เสริมศักยภาพ อสส. สู่ caregiver คุณภาพ-เพื่อพื้นที่ออกกำลังกาย พัฒนาลานกีฬาต้นแบบ 180 แขวง 180 ลาน ภายใน 100 วันแรก 🔻4.สร้าสรรค์ดี-1000ปลี่ยนศาลาว่าการ กทม. เดิม เป็นพิพิธภัณฑ์เมืองและพื้นที่สาธารณะ-สร้าง open art map and calendar ให้ประชาชนปักหมุดกิจกรรมหรือตามเสพงานศิลป์ได้ทั่วกรุง -ปักหมุดทำฐานข้อมูลรวมพื้นที่ของรัฐและเอกชนให้ประชาชนเลือกใช้จัดกิจกรรม-เปิดพื้นที่ กทม. ให้แสดงสตรีทโชว์ -ห้องสมุด กทม. สู่ห้องสมุดดิจิทัล ยืมหนังสือออนไลน์ อ่าน e-book ได้จากทุกที่ 🔻5.สิ่งแวดล้อมดี -เพิ่มพื้นที่สีเขียวและลานกีฬาให้เดินถึงภายใน 15 นาที-จัดหารุกขกรมืออาชีพดูแลต้นไม้ประจำเขต-ปลูกต้นไม้ล้านต้น เสริมร่มเงาเพิ่มพื้นที่สีเขียว สร้างกำแพงกรองฝุ่น -ตรวจจับรถปล่อยควันดำเชิงรุกจากต้นทาง เช่น สถานีรถโดยสาร และไซต์ก่อสร้าง-ขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยงจตลอดอายุขัย ป้องกันการสูญหาย และการปล่อยปละละเลย -แยกขยะตั้งแต่ต้นทาง มุ่งเป้าองค์กรและสรี้างพื้นที่เขตต้นแบบ 🔻6.โครงสร้างดี -วางแผนต้นแบบเมืองใหม่ (ชานเมือง) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน กระจายแหล่งงาน ลดการกระจุกตัวในเขตเมือง -สร้างฐานข้อมูลที่ดินว่างเพื่อโอกาสพัฒนาที่อยู่อาศัยให้คนกรุงเทพฯ -ลอกท่อ ลองคูคลอง ติดตั้งเครื่องสูบน้ำประสิทธิภาพสูง ลดจุดเสี่ยงน้ำท่วม พร้อมหาพื้นที่รับน้ำธรรมชาติ -เตรียมจุดทิ้งขยะ จุดซักล้างในทุกพื้นที่การค้าแผงลอย -ติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียที่แหล่งกำเนิด (onsite treatment) นำร่องชุมชนริมคลองและตลอดสดทั่วกรุงเทพฯ 🔻7.บริหารจัดการดี -พัฒนาระบบการขออนุญาตจาก กทม. ให้ประชาชนตรวจสอบและติดตามได้ -ทบทวนข้อบัญญัติ กทม. และปรับปรุงให้เป็นปัจจุบัน -เปิดข้อมูลกรุงเทพฯ อย่างมีคุณภาพใช้งานได้จริง-จัดสรรงบประมาณบริหารกรุงเทพฯ ด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน (participatory budgeting)-เปิดให้ประชาชนร่วมประเมิน ผอ.เขตและผู้ว่าฯ -สร้างอาสาสมัครเทคโนโลยี (อสท.) ประจำย่าน ช่วยคนกรุงเทพฯให้เข้าถึงเทคโนโลยี 🔻8.เรียนดี -เปิดโรงเรียน กทม. เล่นหรือเรียนได้ในวันหยุด-ชีวิตคนกรุงเทพฯ ดีขึ้น ด้วยการเพิ่มสวัสดิการและลดภาระงานเอกสารด้วยเทคโนโลยี -ขยายเวลาโรงเรียนให้สอดคล้องกับเวลางานของผู้ปกครอง มีครูเฝ้า มีกิจกรรมสร้างสรรค์จากวิทยากรทั้งในและนอก-เพิ่มหลักสูตรภาษาต่างประเทศ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อการทำงานในโรงเรียนสังกัด กทม. พร้อมสำหรับทักษะที่จำเป็นในอนาคต-พัฒนาศูนย์เด็กอ่อน-เด็กเล็กใกล้ชุมชนและแหล่งงาน โดยเพิ่มปริมาณ เพิ่มบุคลากร ปรับหลักสูตร และเพิ่มบริการ-เพิ่มหลักสูตรฝึกอาชีพ กทม. ให้สอดคล้องกับฝั่งธุรกิจและการค้าขายออนไลน์ 🔻9.เศรษฐกิจดี -ปั้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ทั่วกรุงเทพฯ 12 เทศกาลตลอดปี -ชูอัตลักษณ์ย่านทั่วกรุง กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก-ยกระดับผู้ค้าแผงลอยให้มีความยั่งยืน เพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงิน ให้ความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยี และจัดหาสถานที่ค้าขาย-สร้างแบรนด์ Made in Bangkok (MIB) คัดเลือกและพัฒนาสินค้าจากผู้ผลิตในกรุงเทพฯ โปรโมตและต่อยอดผลิตภัณฑ์ ไปสู่ตลาด e-Commerce ขนาดใหญ่-พัฒนาเศรษฐกิจกลุ่มธุรกิจ Hi Tech เช่น eSports, e-Commerce และ Hi Touch เช่น นวด สปา กิจกรรมฝึกจิตใจ
ชัชชาติสิทธิ พันธุ์รัฐมนตรี
🔻เป็นบุตรคนสุดท้องของพลตำรวจเอก เสน่ห์ สิทธิพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กับจิตต์จรุง (สกุลเดิม: กุลละวณิชย์) บุตรของพลตำรวจเอก พิชัย กุลละวณิชย์ อดีตรัฐมนตรี ส่วนพลเอก พิจิตร กุลละวณิชย์ อดีตองคมนตรี และอดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด มีศักดิ์เป็นอา
🔻เขามีพี่น้องร่วมบิดามารดาสองคน คือ
รศ. ปรีชญา สิทธิพันธุ์ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตอาจารย์ประจำหลักสูตรนานาชาติ ด้านการออกแบบและสถาปัตยกรรม สถาบันบัณฑิพัฒนบริหารศาสตร์
รศ. นพ. ฉันชาย สิทธิพันธุ์ กรรมการแพทยสภาวาระ พ.ศ. 2562–2564 คณบดีคณแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย
🔻ชัชชาติสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จากนั้นได้เข้าศึกษาต่อด้านวิศวกรรมโยธา จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนสำเร็จการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง และได้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดล ในปี พ.ศ. 2529 เพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโทด้านวิศวกรรมโครงสร้างจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ และระดับปริญญาเอกด้านวิศวกรรมโครงสร้างจากมหาวิทยาลัยอิลลินอย เออร์แบนา-แชมเปญจน์ สหรัฐอเมริกา ภายหลังจบการศึกษาได้กลับมาเป็นอาจารย์ที่ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นอกจากนี้เขายังสำเร็จการศึกษาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และยังสำเร็จการอบรมหลักสูตรอีกจำนวนหนึ่ง เช่น หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้านการบริหารงานพัฒนาเมือง (มหานคร รุ่นที่ 4) วิทยาลัยพัฒนามหานคร มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช และหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง สถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท. รุ่นที่ 22)] เป็นต้น
